รีวิว The Call สายตรงต่ออดีต
รีวิว The Call เมื่อแรกเริ่มที่หนังเกาหลีมาบุกตลาดบ้านเราผ่านทางค่าย “นนทนันนท์เอนเตอร์เทนเม้นท์” ในตำนาน สิ่งที่ยังมองเห็นในงานจากเกาหลียุคบุกเบิกคือกลิ่นอายของงานทางญี่ปุ่นในเรื่องของพล็อต สไตล์และบท ในขณะเดียวกันก็ยังมีความบันเทิงฉาบฉวยจากทางฮ่องกงที่มีอิทธิพลในตลาดหนังเอเชียอยู่ แต่พอนานเข้าเริ่มเห็นพัฒนาการงานจากเกาหลีที่ไปไกลกว่าทั้งญี่ปุ่นและฮ่องกง ทางญี่ปุ่นนั้นยังไงก็ยังมีความเป็นญี่ปุ่นไม่เสื่อมคลายด้วยเอกลักษณ์ที่มีที่ผ่านมากี่ปีก็ยังคงมีความเยี่ยมในตัวตามแบบฉบับ ดูหนังออนไลน์
สำหรับทางฮ่องกงซึ่งปัจจุบันรวมกับจีนเข้าไปด้วยก็เห็นพัฒนาการในทางที่ดีเพราะหนังจากฮ่องกงหรือจีนเริ่มที่จะมีบทภาพยนตร์ที่ดีเป็นตัวนำจึงได้สัมผัสงานที่มีความละมุนลุ่มลึกขึ้น แต่ที่เป็นตลกร้ายคือระยะหลังคืองานจากทางฮ่องกงหรือจีนชักจะมีกลิ่นเกาหลีเข้ามาปน หนำซ้ำบางเรื่องถ้าลองเปลี่ยนเป็นเสียงเกาหลีก็คงเข้าใจผิดกันได้เข้าไปเสียนั่น
กลับกันงานจากทางเกาหลีที่เริ่มเป็นอินเตอร์มากขึ้นหลากหลายขึ้นแต่ก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์เรื่องความพลิกผันยากจะคาดเดา จนกระทั่งงานจากเกาหลีได้มีบทบาทในเวทีโลกและพิสูจน์ว่างานด้านบทภาพยนตร์นั้นมีความสำคัญเพียงใด ที่ร่ายยาวมาขนาดดูไปบ่นไปกำลังจะสื่อว่างานหนังสไตล์เกาหลีเริ่มมีความดูง่ายขึ้นผิดจากเมื่อก่อนที่มักจะต้องดูการปูเรื่องที่แน่นแต่นานจนหมดความอดทน
แต่หลังๆมาการพัฒนาที่ว่าทำให้หนังเกาหลีบางเรื่องมีความแข็งแรงทางด้านบทแล้วเดินเรื่องตามนั้นอย่างเคร่งครัด ประกอบกับสไตล์และการแสดงที่มาตรฐานสูงจึงได้สัมผัสงานที่ตรึงอารมณ์ได้ตั้งแต่แรกเริ่ม เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ที่ความจริงพล็อตแบบนี้มีให้เห็นกันบ่อยแต่รายละเอียดข้างในและชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่เรียกว่า “เหนือชั้น” ทำให้หนังเป็นความระทึกแทบทุกนาที The Call
เป็นอีกเรื่องของ Netflix ที่คอภาพยนตร์แนวทริลเลอร์ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ถือเป็นพล็อตที่เล่นกับเรื่องของเวลาได้อย่างน่าสนใจและตื่นเต้น จนคนดูต้องลุ้นเอาใจช่วยตัวละครไปตาม ๆ กัน ความน่าสนใจที่ถือเป็นจุดเด่นของเรื่องนี้ก็คือ การดำเนินไปของช่วงเวลาที่มีลักษณะเป็นโลกคู่ขนานระหว่างปัจจุบันกับอดีต ที่ดำเนินไปพร้อม ๆ กัน
ดังนั้นสิ่งที่ตัวละครอย่างยองซุกได้ทำในอดีตจะส่งผลต่อปัจจุบันของซอยอนในทันที มีปมปริศนาให้คิดตามได้ตลอด และยังมีการคลี่คลายปมต่าง ๆ ออกทีละสเต็ปจนมาบรรจบกันได้อย่างลงตัวในท้ายที่สุด นอกเหนือจากความลุ้นระทึกเลือดสาดแล้ว ยังมีฉากดราม่าซึ้ง ๆ น่าประทับใจแทรกเอาไว้อีกด้วย
สายตรงต่ออดีต เรื่องย่อ
ซอยอน (พัคชินฮเย) ต้องกลับบ้านเพื่อมาดูแลแม่ที่ป่วยแต่บ้านที่เคยอยู่นั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว หนังใช้เวลาไม่นานเฉลยว่าซอยอนมีปัญหากับแม่กับความสูญเสียพ่อเมื่อครั้งอดีต ขณะที่ซอยอนกำลังใช้ความคิดเงียบๆอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นและปลายสายก็เหมือนจะโทรมาผิด แต่เสียงโทรศัพท์นั้นก็ดังขึ้นบ่อยครั้งจนกระทั่งซอยอนทราบว่าปลายสายนั้นคือโทรศัพท์เครื่องเดียวกับที่เธอใช้และอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่คนละเวลา
ปลายสายนั้นเหมือนกับเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังถูกทำร้ายแล้วเมื่อการคุยโทรศัพท์ข้ามเวลาบ่อยครั้งเข้าซอยอนจึงทราบว่าปลายสายนั้นคือโอยองซุก (จอนจองซอ) ที่เหมือนกับต้องทุกข์ทรมานกับการต้องอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยง เมื่อยุคที่ซอยอนอยู่คือยุคที่ค้นหาอดีตได้เพียงลัดนิ้วมือยองซุกจึงเสนอตัวไปช่วยชีวิตพ่อของซอยอนและเธอก็เปลี่ยนอดีตได้ในส่วนของซอยอน
แต่ในส่วนของยองซุกยังต้องทนทรมานกับการต้องอยู่กับแม่เลี้ยงที่เป็นหมอผีร่างทรง กระทั่งซอยอนพบว่ายองซุกถูกฆ่าโดยแม่เลี้ยงซอยอนจึงสื่อสารให้ยองซุกเอาตัวรอดเพื่อตอบแทนและนั่นคือความผิดพลาดเมื่อยองซุกคือคนจิตไม่ปกติและเรื่องสะพรึงก็ตามมาเมื่อยองซุกกลายมาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง
แล้วเรื่องของซอยอนและยองซุกก็มาทาบทับกันเมื่อพ่อของซอยอนคือคนที่จะซื้อบ้านหลังที่ยองซุกอยู่ อันตรายจึงค่อยๆคืบคลานหาคนที่ซอยอนรักในอดีตโดยที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้เพราะเธออยู่ในปัจจุบันซอยอนจึงทำได้แค่มองดูปัจจุบันที่เธออยู่เปลี่ยนไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้ และเมื่อความตายมันมาประชิดตัวแล้วเธอที่อยู่ในปัจจุบันจะแก้ไขอดีตได้ยังไง
พล็อตที่ซ้ำและช้ำแต่ชั้นเชิงที่เหนือทำให้ออกมาล้ำ
พล็อตการติดต่อกันข้ามเวลาหรืออดีตที่ส่งผลกับปัจจุบันนั้นเป็นพล็อตที่ค่อนข้างช้ำเห็นมานักต่อนักทั้งในงานหนังและซีรีส์ แต่รายละเอียดต่างหากที่จะเป็นตัวตัดสินและสำหรับบทภาพยนตร์ของเรื่องนี้ต้องบอกว่าอีชองฮยอน (ที่รับหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับ) ทำเรื่องที่น่าจะซับซ้อนในเรื่องของห้วงเวลาให้ออกมาดูง่ายเหมือนขนมฉีกซองกินได้ไม่ต้องคิดตามก็เข้าใจ
ที่สำคัญในบทที่ดูธรรมดาทั้งที่ซับซ้อนนั้นมองไม่เห็นความขัดแย้งใดที่จะมาหักล้างความเป็นแฟนตาซีในเรื่องได้แม้ว่าคนดูจะพยายามมองหาก็ตาม ส่วนหนึ่งคงต้องยกย่องการเล่าเรื่องตามเจตนาของบทที่ตั้งไว้อย่างเคร่งครัดจึงทำให้คนดูรู้สึกระทึกและตื่นตัวตั้งแต่ต้นจนจบ กระนั้นบนความดูง่ายก็มีรายละเอียดภายในที่ใส่ความพลิกผันมาหลายครั้งที่มาถูกเวลาและมีผลกับน้ำหนักของเรื่องและแน่นอนว่ากระชากใจคนดูให้อึ้งได้มากน้อยตามแต่ปม รวมรีวิวหนัง
ด้วยบทที่ง่ายแต่ยังมีความเป็นเกาหลีที่ยังคงชี้นำให้คิดและคาดเดา แต่ไม่ว่ายังไงคนดูก็จะไปสู่จุดที่อับจนหนทางเช่นเดียวกับตัวละครแล้วลงท้ายด้วยการหักมุมแบบที่ไม่มีทางเดาออกเพราะบทแน่นไม่มีริ้วรอยให้จับได้ อีกส่วนของบทที่ทำได้ดีคือพัฒนาการของตัวละครที่แรกเริ่มคนดูจะรู้สึกอีกอย่างก่อนที่จะเจอจุดเปลี่ยนแล้วกลายเป็นรู้สึกอีกอย่างแบบน่าเชื่อถือ
ทั้งนี้ถ้าเพราะบทหนังที่มีคือความหนักแน่นชั้นเชิงการเล่าเรื่องก็ช่วยได้มากเพราะเล่นกับอารมณ์อย่างหนักทั้งที่เป็นชั้นเชิงง่ายๆที่ใครๆก็ใช้แบบ Jump Scare ที่ถ้าถูกจังหวะเวลาก็จะได้ผลเสมอ เช่นกับที่เสียงโทรศัพท์ดังทั้งตัวละครและตัวคนดูสะดุ้งไปด้วยกันทุกครั้งและยิ่งหัวใจจะวายเมื่อหนังเล่าไปถึงช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายด้วยความระทึก จึงเป็นความดีความชอบของบทและชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่ทำให้คนดูลุ้นจนเหงื่อไหล
ต้องสารภาพว่าโดยธรรมชาติของผู้เขียนแล้วเมื่อดูก็พยายามจับพิรุธหาที่จับผิดแล้ว แต่ก็ยอมรับว่าหาไม่เจออาจเพราะตัวบทที่แน่นหนาไม่มีหลุดไม่มีทิ้งประเด็นส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือหนังจัดการอารมณ์คนดูได้เบ็ดเสร็จคือถูกอารมณ์พาไปยังจุดที่อับจนหนทางแล้วลุ้นไปกับเหตุการณ์ตรงหน้าว่าซอยอนจะหาทางออกยังไง ชั้นเชิงก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญแต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคืองานด้านภาพและแสงที่ไม่ค่อยได้เจอแสงสว่างกับบรรยากาศในบ้านที่ดูไม่น่าไว้วางใจและชวนอึดอัด
และแม้จะดึงอารมณ์คนดูได้ดีที่สุดหนังยังชี้ให้เห็นถึงที่มาของปีศาจที่เป็นฆาตกรที่เป็นคนเปลี่ยวเหงา การต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับแม่เลี้ยงใจมารที่ปฏิบัติกับลูกเลี้ยงเหมือนไม่ใช่คนซึ่งในชีวิตจริงมันก็มีคนแบบนี้ที่ดีกับคนข้างนอกแต่ร้ายกับคนใกล้ตัว ความทนทุกข์ที่ไม่ต่างจากการถูกขังแล้วเมื่อมีคนมาคุยมาเป็นเพื่อนโดยที่ไม่เห็นหน้ากันก็คือหยดน้ำในทะเลทราย
แต่วันหนึ่งเมื่อเพื่อนได้สิ่งที่ต้องการแล้วเปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่าสิ่งที่เก็บกดอยู่ข้างในจึงระเบิดไม่ต่างจากการปลุกปีศาจร้าย ก็ใช่ที่การที่เราถูกกระทำเราก็ไม่มีสิทธิ์ไปกระทำกับคนอื่นแต่ในที่นี้ผู้ถูกกระทำคือคนป่วยที่ต้องได้รับการรักษา แต่โชคร้ายที่เธอต้องมาอยู่กับไสยศาสตร์จึงกลายเป็นเรื่องเลวร้ายที่ตามมาอย่างหมดทางเลี่ยง นั่นเป็นเพราะสถาบันครอบครัวที่ต่างกันระหว่างคนสองคนเมื่อคนหนึ่งเห็นว่าว่าอีกคนมีในสิ่งที่ตัวเองไม่มี จนกลายเป็นความริษยาในใจมาประกอบกับความรู้สึกเหมือนถูกทิ้งและไม่ได้รับความสำคัญปีศาจร้ายที่ถูกขังจึงหลุดออกมาและอยู่เหนือการควบคุม
สิ่งนั้นคือพัฒนาการด้านบทที่เป็นมิติเชิงลึกในตัวฆาตกรต่อเนื่องเพราะน้อยครั้งที่ตัวละครแนวนี้จะมีมิติได้ขนาดนี้เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการซ่อนตัวฆาตกรแล้วหลอกล่อกับคนดู แต่กับเรื่องนี้คือเปิดหน้าแล้วใส่มิติลงไปแล้วเอาล่อเอาเถิดกับอารมณ์คนดูทำให้ผลที่ออกมา “เยี่ยม”
Lorem ipsum dolor sit amet...
หนังแนวระทึกขวัญฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตขายความระทึกแบบนี้แถมด้วยความพลิกผันขนาดนี้ นอกจากบทที่ต้องเป๊ะทุกกระเบียดแล้วหนังจะไปไม่ถึงจุดสุดยอดได้ถ้านักแสดงไม่สามารถถ่ายทอดบทบาทของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งผู้เขียนก็บ่นมาหลายครั้งแล้วว่าการแสดงของนักแสดงเกาหลีนั้นมีมาตรฐานสูงและมันคือส่วนสนับสนุนความน่าเชื่อถือในด้านตัวละครและยกระดับหนังให้สูงขึ้น
เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่สายตาหลายคนอาจจับจ้องไปที่พัคชินฮเยแต่ผู้เขียนกลับมองว่าจอนจองซอคือผู้เล่นทรงคุณค่า ไม่ใช่ว่าพัคชินฮเยแสดงไม่ได้หรือไม่ดีกลับกันเธอให้การแสดงที่สมบูรณ์แบบแล้วในส่วนของเธอ การแสดงของเธอคือได้ใจคนดูแน่นอนเพราะคนดูพร้อมจะเอาใจช่วยและลุ้นไปกับเธอเจ็บไปกับเธอ การแสดงผ่านสีหน้าแววตาของพัคชินฮเยนั้นสุดจัดแล้วไม่เชื่อลองนึกดูฉากที่นั่งนิ่งๆรอเสียงโทรศัพท์ด้วยสายตาสับสนกระวนกระวายแต่แววตาไร้ซึ่งความหวังในตอนท้ายดูมันสมบูรณ์แบบอย่างที่สุดแล้วสำหรับบทคนที่เป็นเหยื่อ
ซึ่งสำหรับพัคชินฮเยยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังดาราและราศีซูเปอร์สตาร์จนล้นเพียงแต่มิติของบทมันมีเพียงเท่านั้น สิ่งที่ผู้เขียนมองว่าจอนจองซอคือส่วนที่ดีที่สุดนั้นเป็นเพราะบทของเธอมีมิติลึกกว่ามีอะไรให้เล่นมากกว่า จากความสงสารของคนดูตอนที่เริ่มรู้จักเธอจนกลายเป็นปีศาจฆาตกรโรคจิตจอนจองซอสามารถเปลี่ยนผ่านอารมณ์อย่างมีพัฒนาการน่าเชื่อถือ การแสดงผ่านสีหน้าแววตาอยู่ในระดับที่ต้องยืนปรบมือคิดง่ายๆแค่สบตากับเธอแล้วรู้สึกเสียวสันหลังสัมผัสพลังอำมหิตได้ นั่นคือสิ่งที่การแสดงของจอนจองซอมอบให้
ถ้านั่นยังไม่พอการปะทะกันในเรื่องระหว่างพัคชินฮเยและจอนจองซอคือการเฉือนกันแบบกินกันไม่ลง ตบท้ายด้วยนักแสดงสมทบในระดับสุดยอดและแสดงได้อย่างถึงฟอร์มทุกคนอย่างโอจองเซหรืออีเอลในบทแม่เลี้ยง หรือกระทั่งพัคโฮชานเรียกได้ว่าแสดงดีแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้าเพราะฉากและภาพยังมีผลกับอารมณ์และมันให้หนังเรื่องนี้เป็นที่น่าจดจำ
นี่คือหนังที่เล่นกับอารมณ์คนดูอย่างอยู่หมัด กระทั่งผู้เขียนเองดูแบบพยายามสังเกตหาริ้วรอยในหนังแล้วแต่ก็ยังหาไม่เจอ นั่นอาจเป็นเพราะการถูกหนังดึงอารมณ์ให้มีส่วนร่วมกับชะตากรรมของคนสองคนที่อยู่ในหนัง เพราะไม่ใช่แค่ฝั่งเหยื่อแต่กลับกลายเป็นมีอะไรบางอย่างในฝั่งฆาตกรที่สะกิดในใจลึกๆ นั่นหมายความว่างานด้านบทเล่นกับอารมณ์คนดูแบบเอาล่อเอาเถิดชนิดที่คงเรียกได้ว่าการดูหนังเรื่องนี้ถูกอารมณ์และความรู้สึกพาไปตามที่หนังต้องการแบบนั้น
เพราะหนังไม่ได้มีฉากใหญ่ๆอะไรมากมายนักแสดงก็ไม่กี่คน แต่การที่หนังมีบทภาพยนตร์ที่แข็งแรงชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่ดูเหมือนง่ายไม่ซับซ้อนแต่เข้าถึงและได้ผล งานด้านภาพและบรรยากาศที่น่าสะพรึงและการแสดงที่อยู่ในระดับที่สูงทำให้หนังออกมาแกร่งทั่วแผ่นจนระทึกลุ้นแทบทุกนาทีตั้งแต่ต้น รีวิวหนังสอบสวน
กระนั้นหนังยังมีความพลิกผันไปมาเดาทางยากตามสไตล์เกาหลีพร้อมการหลอกล่อที่ถูกจังหวะเวลา ถ้านั่นยังไม่พอครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของหนังคือความระทึกและลุ้นจนแทบลืมหายใจจนกระทั่งเมื่อหนังจบเผลอปาดเหงื่อไปด้วยส่วนบทสรุปสุดท้ายจะเป็นยังไงให้ไปพิสูจน์เอง
และนี่คือหนังที่ทรงพลังตั้งแต่ต้นหนังมอบความสนุกและคุ้มค่าตามหน้าที่ที่หนังแนวนี้พึงมี ถ้าจะมีอะไรให้ตินิดหน่อยคงเป็นการที่หนังขมึงตึงและเดินหน้าอย่างเดียวไม่มีผ่อนให้ผู้ชมได้พักถอนหายใจบ้าง แต่นั่นคือเจตนารมณ์ที่หนังตั้งไว้และเมื่อทำได้ถึงขนาดที่คนดูอึดอัดแทบกลั้นหายใจตลอดเวลานั่นคือหนังทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว และคงต้องบอกว่านี่คือหนังที่ดีที่สุดเท่าที่ดูมาสำหรับหนังแนวนี้เรื่องหนึ่งเลยที่ต้องแนะนำว่าต้องดูเท่านั้นเพราะคุ้มค่าทุกนาทีจริงๆ
รีวิว นำแสดงโดย
ซอยอน (รับบทโดย พัคชินฮเย)
โอยองซุก (รับบทโดย จอนจงซอ)
แม่ (รับบทโดย คิมซองรยอน)
หมอผีร่างทรง (รับบทโดย อีเอล)
ซอยอน ที่รับบทโดย พัคชินฮเย ก็ไต่ระดับความประสาทได้อย่างดีเยี่ยม จากหญิงสาวที่ต้องทนทุกข์จากการเสียพ่อและโกรธเคืองแม่ กลายมาเป็นหญิงสาวที่เพรียบพร้อมและมีความสุขกับการที่ครอบครัวกลับมาอยู่พร้อมหน้าอบอุ่น และต้องกลับมาตกต่ำถึงขีดสุดกับสิ่งที่ปีศาจร้ายอย่างยองซุกหยิบยื่นให้กับเธอ ทำให้เธอต้องฟาดฟีปากและหาทางเอาคืนเพื่อดิ้นรนจากสิ่งที่ยองซุกจะทำให้ได้ ซอยอนในเรื่องนี้เป็นตัวละครที่มีหลากอารมณ์มากๆและน้องผักก็สามารถเข้าถึงทุกบทบาทได้อย่างน่าขนลุก การค่อยๆร้องไห้ไปพร้อมๆกับการเพิ่มวอลลุ่มเสียงไปด้วยทั้งๆที่ต้องแสดงเพียงคนเดียวกับโทรศัพท์เปล่าๆนี่มันน่าทึ่งมากกก!!!
โอยองซุก ที่รับบทโดย จอนจงซอ ในเรื่องนี้เรียกได้ว่าพกความโรคจิตมาปล่อยแบบไม่มีกั๊ก ทุกฉากที่เธอออกมาไม่ว่าจะน้ำเสียง แววตา การขยับของร่างกายก็ล้วนบ่งบอกว่าจิตใจของเธอนั้นไม่ปกติ เธอนั่นต้องทนทุกข์กับการโดนทารุณจากแม่เลี้ยงอย่างโหดร้ายมาตลอดหลายปี ทำให้นอกจากบาดแผลทางร่างกายแล้วบาดแผลทางจิตใจที่ถูกทำร้ายก็สะสมจนเธอกลายเป็นคนมีบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่งและต่อต้านสังคม ที่ทวีความรุนแรงในพฤติกรรมการแสดงออกของเธอไปอีกเป็นทวีคูณ เรียกได้ว่าจงซอเล่นได้ไม่ดร็อปเลยแม้แต่ฉากเดียว
นอกจากนักแสดงนำและตัวเนื้อหาที่น่าสนใจแล้ว สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจและน่าจับตามองมากขึ้นไปอีก ก็คงจะเป็นฝีมือการกำกับของผู้กำกับหนุ่มหน้าใหม่ อีชุงฮยอน ที่หลายๆคนต่างก็รอดูกันว่าผู้กำกับหนุ่มคนนี้จะถ่ายทอดหนังเรื่องนี้ออกมาในรูปแบบไหนเพราะภาพยนตร์ The call เป็นผลงานภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของเขา
เป็นเรื่องราวของซอยอน (รับบทโดย พัคชินฮเย) หญิงสาวที่อาศัยอยู่ในยุคปัจจุบัน ที่วันนึงเธอได้รับสายปริศนาจากโทรศัพท์บ้านในบ้านใหม่ที่เธอเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่นานหลังจากที่บ้านเก่าของเธอไฟไหม้จนต้องสูญเสียพ่ออันเป็นที่รักไป เธอจึงได้แต่โทษว่าเป็นความผิดของแม่ (รับบทโดย คิมซองรยอน) มาตลอดชีวิต สายปริศนาที่เธอได้รับถูกโทรมาจากอดีตในปี 1999 จากหญิงสาวที่ชื่อว่าโอยองซุก (รับบทโดย จอนจงซอ) ที่อาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงที่เป็นหมอผีร่างทรง (รับบทโดย อีเอล) ที่มักจะทารุณกรรมเธออยู่เสมอ โดยอ้างว่าจะขับไล่วิญญาณชั่วร้ายที่สิ่งอยู่ในตัวยองซุกให้ออกไป
โดยวันหนึ่งยองซุกได้ยื่นข้อเสนอว่าเธอสามารถช่วยไม่ให้พ่อของซอยอนตายได้ และเธอก็สามารถทำได้จริง ๆ ทำให้ปัจจุบันที่ซอยอนอยู่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงยิ่งแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น จนวันนึงซอยอนได้ช่วยชีวิตยองซุกจากเงื้อมมือแม่เลี้ยง ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของฆาตกรต่อเนื่อง ปีศาจที่จะมาเปลี่ยนชีวิตของซอยอนไปตลอดกาล
ในเรื่องการแสดงของตัวละครทุกตัวในเรื่องนั้นถือว่าทุกตัวทำหน้าที่ได้อย่างดีมาก พักชินฮเย ที่รับบทเป็นซอยอน แสดงถึงความกดดันได้ดี แสดงถึงความจนมุมหรือจนต่อได้ดี เธอเล่นดีจนทำให้เรารู้สึกเครียดตาม แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกประทับใจมาก ๆ คือความสวยน่ารักของเธอ โอ้โหมัดใจชายได้แน่ ๆ ซึ่งหากใครเคยชม #Alive (2020) ทาง Netflux มาแล้ว คงจะต้องหลงรักเธอมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ส่วนตัวละคน จองซุกที่รับบทโดย จอนจงซอ การแสดงของเธอในเรื่องนี้ถือว่าเฉียบขาดมาก มีมิติในทางลึกและทางกว้าง ลงลึกในอารมณ์ได้อย่างสุดยอด เวลารับบทเป็นผู้ถูกกระทำเธอทำได้อย่างขั้นสุดเลยทีเดียว
ความรู้สึกหลังดูจบ
หนังทำออกมาใช้ได้เลย ตื่นเต้นและลุ้นระทึกดี แต่ก็มีจุดที่ไม่สมเหตุสมผลและช่องโหว่อยู่มากมายในหลายๆ ช่วงของหนัง ซึ่งถ้ามองข้ามตรงจุดนี้ไปได้ ก็จะสนุกกับสิ่งที่หนังพยายามนำเสนอได้อย่างเต็มที่เลยล่ะ งาน CG ทำออกมาได้ดี เนียนตาและมีความครีเอทมาก
สิ่งที่ดีงามที่สุดของเรื่องนี้คือ การแสดงของทั้ง 2 สาวที่แสดงได้ดีมากๆ โดยเฉพาะ จอนจงซอ ที่แสดงความเป็นโรคจิตได้ดีสุดๆ แค่เห็นแววตาก็รับรู้ถึงความอันตรายของตัวละครตัวนี้แล้วหนังค่อนข้างมีความรุนแรงอยู่ แต่สำหรับคนที่ดูหนังประเภทย้อนเวลาหรือข้ามเวลาเพื่อแก้ไขอดีตอะไรประมาณนี้มามากแล้ว อาจจะมีขัดใจอยู่บ้าง เพราะในแต่ครั้งที่มีการแก้ไขอดีตแทบจะไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของกฎเดียวกันเลย จึงทำให้ตลอดเวลาที่ดูจะรู้สึกแปลกๆ ประมาณว่าทำไมตรงนี้แก้ไขแล้วเป็นแบบนี้ แล้วก่อนหน้านี้ล่ะทำไมแก้ไขแล้วไม่เป็นแบบนั้น
สายตรงต่ออดีตจบ ทำเอาให้รู้สึกจิตตก ไปกับความรุนแรงของครอบครัวอย่างมาก แต่ก็สนุกกับหนังไปพร้อมกัน เป็นหนังระทึกขวัญ ที่ดูแล้วหยุดไม่ได้อีกเรื่อง อยากหาความจริงไปพร้อมกับตัวละครจนจบ
อีกประการก็คงเป็นจุดที่น่าเสริมให้สมบูรณ์ขึ้น ในขณะที่ตัวนางเอกคุยสายไปมาแบบไม่เคยเอะใจอะไร แต่ในตอนที่ต้องใช้ประโยชน์จากความแม่นยำของความต่างเวลากลับสามารถวางแผนออกมาได้เหมาะเจาะเสียอย่างนั้น
คือถ้าเป็นหนังญี่ปุ่นหรือฝรั่งที่คิดละเอียด ๆ เยอะ ๆ มันจะมีฉากที่เหลือข้อมูลให้ตัวเอกคำนวณได้ว่าเวลาของอดีตกับปัจจุบันต่างกันเท่าไหร่/หรือไม่ต่างกันเลยในหลักชั่วโมงหลักนาที เพราะจุดนี้ต้องถูกเอามาใช้เป็นไคลแม็กซ์สำคัญในช่วงท้าย ทว่าในหนังเกาหลีเรื่องนี้ข้ามอะไรแบบนี้ไปเลย และให้อนุมานเอาว่าเวลาที่ตัวละครโทรไปหรือรับสายคือเวลาที่พอดีกับที่ตัวละครต้องการ ทำให้ลดความสมจริงลงไปสักหน่อย
จุดเด่นที่สุดก็คือการสร้างความกดดันให้กับคนดูทำให้คนดูรู้สึกว่า ตัวละครเอกของเรื่องนั้นตกเป็นรองตัวร้ายของเรื่องอย่างมาก ตกเป็นรองในแบบที่ว่าเราไม่สามารถคิดได้เลยว่าจะมีวิธีการโต้กลับได้อย่างไร เพราะตัวละครที่เป็นคนร้ายนั้น แม้จะอยู่ในช่วงคนละเวลากับตัวละครเอกแต่ก็สามารถรับรู้เรื่องราวในอนาคตได้ แต่คนที่รู้เรื่องราวในอดีตกลับไม่สามารถแก้ไขหรือตั้งตัวอะไรได้เลย มันเป็นการชิงไหวชิงพริบที่ค่อนข้างเฉียบขาด จุดนี้มันทำให้เราลุ้นระทึกอยู่ตลอดเวลาทั้งเรื่องของหนังเลยทีเดียว
หากเราดู The Call มาจนจบแล้ว เราจะเห็นว่า การจบของเรื่องนั้นไม่ได้มีการจบในครั้งเดียว มีการจบแบบ 2 ครั้ง ซึ่งในส่วนตัวผมบอกแกว่าการจบในครั้งแรกนั้นถือว่าลงตัวที่สุดแล้ว แต่พอมีการจบในครั้งที่ 2 เกิดความขัดแย้งทางความคิดของการดูว่าสรุปแล้วมันคืออะไรกันแน่ ซึ่งแน่นอนว่าบางคนอาจจะบอกว่านี่คือการจบแบบปลายเปิด แต่รู้สึกว่าเป็นปลายเปิดที่จบแบบไม่สมบูรณ์ ซึ่งต่างกับการจบแบบหนังปลายเปิดที่โด่งดังที่สุดในโลกอย่าง Inception เรียกได้ว่า Inception คือการจบแบบปลายเปิดที่สมบูรณ์ที่สุดเรื่องหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ หรือนี่อาจจะเป็นการหยอดของทีมผู้สร้างว่าต้องการที่จะสร้างภาคต่อก็เป็นได้ รีวิวหนังน่าดู
โดยรวมถือว่า The call เป็นภาพยนตร์ที่สนุกในระดับดี ตัวบทนำเสนอออกมาได้น่าสนใจที่สามารถเอาความแฟนตาซีเกี่ยวกับมิติเวลามาผสมผสานไปกับความสยองขวัญ ความลุ้นระทึกสั่นประสานไปกับการฆาตกรรมที่จะเกิดขึ้นในเรื่อง ผ่านตัวละครที่แทบจะมีแต่ผู้หญิง เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่นักแสดงหญิงต่างก็ปล่อยของโชว์พลังกันไม่หยุด