รีวิวหนัง ท็อปกัน: มาเวอริค

รีวิวหนัง ท็อปกัน: มาเวอริค

รีวิวหนัง ท็อปกัน: มาเวอริค

สนุกทุกภาคส่วน

พีท มิทเชลล์ เป็นการกลับมาอีกรอบในรูปแบบของ ครูฝึกของภารกิจเสี่ยงตาย โคตรลุ้นและเสียน้ำตา

หลายคนคงเกิดทันและหลายคนคงได้ดูภาคแรกที่ ดูหนังออนไลน์  ออกฉายในปี 1986 แต่หลายคนก็อาจเหมือนผม คือได้มาดูทีหลัง แต่นั่นก็คงไม่สำคัญ เพราะไม่ว่าจะดูเร็วดูช้า ทุกคนก็สามารถจะอิ่มเอมได้กับภาคใหม่ Top Gun: Maverick ชื่อไทย ท็อปกัน: มาเวอริค’ ได้เหมือนๆ กัน

ครั้งนั้น ได้ Tony Scott ได้เป็นผู้กำกับการแสดง ครั้งนี้เป็น Joseph Kosinski ได้เข้ามาแทนที่ ถ้าหลายคนคิดว่าเคยดูหนังเขามาบ้างหรือไม่ งานกำกับเรื่องที่ผ่านๆ มาก็คือ TRON: Legacy’‘Oblivion’ และ ‘Only the Brave’ โดยที่เรื่องนี้มีทั้ง Jerry Bruckheimer และ Tom Cruise พระเอกสุดหล่อของเรื่องร่วมกันเป็นโปรดิวเซอร์

ไม่ว่าคุณจะเคยดูภาคแรกมาก่อนหรือไม่ ถึงยังไงก็ต้องถ่อไปดูในโรงกันแน่ๆ แหละ เราไปรับชมกันได้เลย ดูหนังฟรี

รีวิวหนัง ท็อปกัน: มาเวอริค

เรื่องย่อหนัง ‘Top Gun: Maverick’

เขาได้เข้ารับเป็นนักบิน ฝีมือระดับต้นๆ ของกองทัพเรือ และเป็น กัปตัน มานานหลายปีเลยทีเดียว พีท มาเวอริค มิทเชลล์ (Tom Cruise จากหนังเรื่อง The Mummy’‘Mission: Impossible – Fallout และ ‘Oblivion’) ก็กลับมาสู่ที่ของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้ เป็นการกลับมาอีกรอบในรูปแบบของ ครูฝึก หน่วยท็อปกันเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ที่อันตรายมาก ที่ยังไม่เคยมีนักบินที่ยังมีชีวิตอยู่เคยเห็นมาก่อน แม้แต่ตัวของเขาเอง

มาเวอริคต้องมีการต่อสู้กันกับ เรือโทแบรดลีย์ แบรดชอว์ หรือ “รูสเตอร์” เจ้าของเรือโทนิค แบรดชอว์ หรือ “กูส” และเพื่อนของเขาที่ตายจากไป เขาต้องพบกับอนาคตที่ไม่แน่นอนและอดีตที่ตามหลอกหลอน มาเวอริคต้องเผชิญกับความกลัวที่ฝังลึกอยู่ และปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ซึ่งภารกิจนี้ผู้ที่ได้รับเลือกให้ร่วมบินต้องเสียสละอย่างที่สุด ติดตามกันเลยครับ  หนังสืบสวน สอบสวน อาชญากรรม

รีวิวหนัง ท็อปกัน: มาเวอริค’

หนังเรื่องนี้ ให้เราดูจุๆเลย ถึง2 ชั่วโมง 11 นาที ที่อัดแน่นไปด้วยบทอันซาบซึ้งกินใจ การฝึกบินที่เข้มงวด ภารกิจที่โคตรเสี่ยงตาย ทั้งยังอบอวลด้วยบรรยากาศเก่าๆ ที่เคยสร้างไว้ในภาคแรก เรื่องราวแต่คราวนั้นที่เล่าถึงนักบินผู้มีความสามารถแต่มีนิสัยมุทะลุและมักฝ่าฝืนคำสั่งอยู่เสมอ จนเขาไม่เคยเลื่อนตำแห่นงไปไกลกว่า ‘กัปตัน’ วันนี้ เขาได้รับภารกิจอีกครั้งหลังก่อเรื่อง และสิ่งที่เขาได้รับก็คือ

…มันจะเป็นภารกิจสุดท้ายของเขา

ท็อปกันที่เชื่อมโยงภาคเก่า แต่ทำได้ ‘ถึง’ กว่า

จะว่าไป ผมก็แทบจะลืมเรื่องราวในภาคก่อนไปจนเกือบหมดสิ้น หลงเหลือไว้บ้างพอกล้อมแกล้ม ทบทวนความจำก่อนดูหนังไปบ้างนิดหน่อย แต่ก็พบว่า มันเป็นหนังที่ไม่จำเป็นต้องดูภาคก่อนก็สามารถสนุกและอินไปกับเรื่องราวในนั้นได้ [แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถ้าดูภาคแรกไปก่อน จะอินและเข้าใจตัวละครได้มากขึ้นไปอีก] เพราะหนังบอกเล่าเรื่องราวของ พีท หรือมาเวอริค

คนที่เคยอยู่ในโรงเรียนท็อปกันนี่มาก่อน แต่ความเป็นคนทำอะไรไม่คิดก็เลยไม่เคยก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ส่วนหนึ่งก็เพราะเขารักในหน้าที่ใน cockpit มากกว่านั่งโต๊ะบัญชาการ อีกส่วนก็เพราะนิสัยส่วนตัวนี่แหละที่สร้างความละเหี่ยใจมาหลายต่อหลายครั้ง

แต่เขาก็หนีอันตรายเหล่านั้นมาได้ทุกครั้ง เพราะ ‘ไอซ์แมน’ ( จากหนังเรื่อง ‘Top Gun’‘Heat’ และ ‘Red Planet’) เป็นคนที่มีความเชื่อมั่น ในตัวเขามากที่สุดเลยก็ว่าได้

หนังมีหลายฉากเลยแหละทำมาเพื่ออิงภาพจำในภาคแรก ไม่ว่าจะเป็น …ฉากนั้น… ฉากนี้…​หรือฉากโน้น [เอาเป็นว่า หาดูภาคแรกเถอะ แล้วจะเห็นเอง] แถมเอาเพลงที่คุ้นเคยกลับมาใช้ มีนักแสดง/ตัวละครเก่าๆ ที่กลับมามีบทบาทอีกครั้ง ทำให้คนที่ดูรู้สึกเชื่อมโยงกับภาคเก่า แถมยังให้ความรู้สึกเป็นเนื้อเดียวกัน

แต่สิ่งที่ทำในภาคนี้มันกลับดู ‘ถึง’ กว่าในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะด้วยเทคโนโลยีการสร้างที่รุดหน้าไปมาก ทุกอย่างสมจริงขึ้น สร้างงานภาพที่หวือหวาได้ใกล้เคียงจนแยกกันไม่ออกเลยแหละว่า ที่เห็นนั่นเป็นการขับเครื่องบินจริงหรือใช้เทคนิคกันแน่ [แม้เขาจะคุยว่า ถ่ายทำด้วยการขับเครื่องบินรบจริงๆ ก็เหอะ] นอกจากนี้ ยังหยิบเอาภาพบางส่วนจากหนังภาคแรกเมื่อ 30-40 ปีก่อนแฟลชแบ็กให้ดูอีกต่างหาก

ไม่เท่านั้น การดำเนินเรื่องและการตัดต่อ ผสานทั้งภาพและเสียง ยังทำให้เราลุ้นระทึกไปกับตัวละครตลอดเวลา

ความขัดแย้งของตัวเอก และบทหนังที่ชวนอิน

หนังเรื่องนี้ได้บอกถึง ปัญหา ที่มีกันทั้ง สองฝ่าย คือ มาเวอริค นักบินผู้เก่งกาจที่เคยบินร่วมกับกูส (Anthony Edwards) และในครั้งนั้น เขาก็สูญเสียเพื่อนรักไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่วันนี้ เขาต้องมารับภารกิจเป็นผู้ฝึกนักบินเพื่อทำภารกิจสุดอันตราย โดยหนึ่งในนั้นเป็น รูสเตอร์ ลูกชายของกูสที่เกลียดชังน้ำหน้าของเขาอย่างมาก ทำให้น่าสนใจว่า มาเวอริคจะรับมือกับรูสเตอร์ยังไง

แน่นอนว่า เขาคงไม่ต้องการเห็นรูสเตอร์ต้องตายไปอีกคนในภารกิจที่เขารับผิดชอบอยู่แบบนี้

ตัวเขาเองก็ยังไม่เคย move on ไปจากความรู้สึกผิดในใจจากความสูญเสียที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้วได้ แถมยังมาขัดใจกับลูกชายของเพื่อนเสียอีก ในหนังภาคนี้ เราจึงได้เห็นหลายฉากที่ ทอม ครูซ แสดงออกถึงปมที่ยังค้างอยู่ในใจตลอดมา น้ำตาที่เอ่อบนใบหน้าของเขานั้น ส่งผลให้ผมต้องน้ำตาไหลตามไปด้วยทุกครั้งเช่นกัน

รีวิวหนัง ท็อปกัน: มาเวอริค ลุ้นจิกเบาะ ทั้งเดาได้และไม่แน่ใจในสิ่งที่คาดเดา

พอดูหนังเรื่องนี้จบ รับรองทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันเลย ว่าหนังภาคนี้ “สนุกมาก มันส์มาก” ก็คงเป็นฉากแอคชันที่มีมาให้ชมกันตลอดเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบ หนังมีแต่ภารกิจสุดเสี่ยงตายบนท้องฟ้า ความบ้าระห่ำของมาเวอริค และภารกิจการสอนแต่ละอย่างเพื่อปูไปสู่ภารกิจจริงที่ใครก็มองว่ารอดยาก คนดูอย่างเราได้แต่ลุ้นจิก หัวใจเต้นระรัว ทหารเรือที่เป็นนักบินรบอย่างพวกเขา ชีวิตนั้นพร้อมตายได้ทุกวินาที เราจึงไม่อาจแน่ใจได้เลยว่า ภารกิจต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

แต่กระนั้น หนังก็ไม่ได้เดายากอย่างที่คิด

บางส่วนของหนัง นั่งดูไปก็คาดเดาไปด้วยว่า เดี๋ยวหนังจะต้องเป็นอย่างนั้น ซึ่งก็เป็นอย่างตามที่คาด แต่ก็ต้องยอมรับว่า หนังเองก็มีบางจุดที่คาดไม่ถึงเช่นกัน ซึ่งนั่นทำให้ประทับใจในตัวหนังมากขึ้นไปอีก เป็นความพยายามที่จะสร้างบทที่ไปไกลกว่าการกดตามสูตร ซึ่งก็ได้ผลแม้องค์รวมมันจะไม่หนีไปไกลนักก็ตามที

เป็น 131 นาทีที่รู้สึกสนุกและชื่นชอบมันมากจริงๆ

รีวิวหนัง ท็อปกัน: มาเวอริค

รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง

ชื่อภาพยนตร์ Top Gun: Maverick / ท็อปกัน: มาเวอริค
กำกับ Joseph Kosinski
เขียนบท Ehren Kruger, Eric Warren Singer, Christopher McQuarrie
แสดงนำ Tom Cruise, Jennifer Connelly, Miles Teller, Monica Barbaro, Val Kilmer
แนว/ประเภท อาชญากรรม สืบสวน  ระทึกขวัญ
เรท PG-13
ความยาว 131 นาที
ปี 2022
สัญชาติ สหรัฐอเมริกา
เข้าฉายในไทย 25 พฤษภาคม 2022
ผลิต/จัดจำหน่าย Paramount Pictures , Skydance Media, Jerry Bruckheimer Films

ท็อปกัน: มาเวอริค

พล็อตและบท – 8.8

การแสดง – 8.5 การดำเนินเรื่อง – 10 เพลงและดนตรีประกอบ – 9.2 งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน – 10

9.3

Top Gun: Maverick

หนังเรื่องนี้ ให้เราดูจุๆเลย ถึง2 ชั่วโมง 11 นาที ที่อัดแน่นไปด้วยบทอันซาบซึ้งกินใจ การฝึกบินที่เข้มงวด ภารกิจที่โคตรเสี่ยงตาย ทั้งยังอบอวลด้วยบรรยากาศเก่าๆ ที่เคยสร้างไว้ในภาคแรก โดยรวมจึงถือว่า หนังสานต่อได้ดี แถมเพิ่มเติมเรื่องเล่าให้ทรงพลังมากขึ้น ด้วยปมขัดแย้งในใจที่ทำให้ทั้งอินและลุ้นไปพร้อมกัน แม้จะดูกดตามสูตรอยู่บ้างแต่ก็เห็นความพยายามจะไปให้ไกลกว่านั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *